วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

การดูแลต้นผักหวานป่า

ผักหวานป่า

ผักหวานป่า แข็งแรง ทนทาน อายุยืนร้อยปี เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง และมีราคาสูง
กว่าสิบปี  การปลูกผักหวานด้วยวิธีต่างๆ ถูกนำเสนอ
แต่อนิจจา กล้าผักหวานหลายสิบล้านกล้า แทบสูญเปล่า     
ทรัพยากรถูกทำลายหลายร้อยล้านบาท แต่หาผู้ประสพความสำเร็จได้เพียงน้อยนิด
เงินของใครจะสูญเสียไป เป็นเรื่องส่วนตัวครับ  แต่ทรัพยากรที่เสียหายเป็นของทุกคน 
ควรช่วยกันโดยทำกิจกรรมที่ก่อเกิดผลงาน 
อยากให้มีสวนผักหวานเกิดขึ้นมากมาก  เหมือนไม้ผล พืชพันธุ์อื่นๆ  
และอยากให้เป็นทางเลือกของผู้คน  ในการสร้างสวนผักหวานด้วยเมล็ด

ปวยเล้ง



ปวยเล้ง

เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่ามีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้งถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานอีกด้วย

หัวปลี


หัวปลี

เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้

แค


แค
รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้

มะเขือยาว


มะเขือยาว
มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคลักปิดลักเปิด

ตำลึง



ตำลึง

เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย



ขี้เหล็ก

ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน

สรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็กมีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาททำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย

ถั่ว

ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้

โหระพา

โหระพา

          ปลูกง่าย ขึ้นง่าย ใบเยอะ มากประโยชน์ แถมเมล็ดสีม่วงที่ขึ้นอยู่กับช่อ นอกจากสีจะสวยแล้วยังมีประโยชน์ด้วยค่ะ

ประโยชน์

          ลำต้นสด ๆ นำมาต้มกินกับน้ำ ดื่มแล้วช่วยบรรเทาอาการปวดและแก้หวัด หรือใช้ใบสด ๆ นำมาตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่มีแผลฟกช้ำ บรรเทาอาการกลากเกลื้อน และแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนเมล็ดนำไปแช่น้ำจนพองเป็นเมือก แล้วกินใช้เป็นยาระบาย เพราะเข้าไปเพิ่มกากใยภายในลำไส้

มะกรูด

 มะกรูด

มะกรูด

          จัดอยู่ในกลุ่มของสมุนไพรชั้นเลิศของไทยมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ประโยชน์ก็จัดจ้านไม่น้อยเลยค่ะ แถมกลิ่นของต้นมะกรูดปลูกไว้หลังห้องกลิ่นจะช่วยไล่แมลงบางชนิดได้อีกด้วยนะคะ

ประโยชน์

          เริ่มต้นที่การนำใบมะกรูดมาเป็นเครื่องแกงค่ะ ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร และช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ หรือจะช่วยบรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟันด้วยการนำใบสด ๆ มาถูฟัน หรือมีเวลามากหน่อยอยากได้น้ำมะกรูดจิบระหว่างวัน ก็ผ่านเปลือกบาง ๆ นำไปชงในน้ำเดือด ใส่การบูรลงไปเล็กน้อย จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะได้ และปิดท้ายเรื่องความสวยงามหากเวลาน้อยแต่อยากมีผมที่ดกดำ และยังช่วยกำจัดเชื้อราบริเวณหนังศีรษะได้อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สายบัว



สายบัว

ชื่อวิทยาศาสตร์        -
ชื่อสามัญ                -
วงศ์                      -
ชื่ออื่นๆ                  -
 
ลักษณะ :
ส่วนประกอบของบัวที่หลายๆคนมักจะจำสับสน หรือเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกันเสมอก็คือ "สายบัว" และ "ไหลบัว" โดยสายบัวนั้น คือก้านของดอกบัวสาย เวลานำมากินต้องลอกเปลือกนอกออกก่อน โดยสีของสายบัวจะออกสีน้ำตาล นิยมนำมาแกงต้มกะทิ กินสดๆหรือลวกจิ้มน้ำพริก
ส่วนไหลบัวหรือหลดบัวนั้นเป็นหน่อของบัว หรือส่วนที่งอกขึ้นมาและจะเจริญเป็นลำต้นใหม่ต่อไป สีของไหลบัวจะเป็นสีขาว ไหลบัวที่เรานิยมนำมากินนั้นเป็นบัวหลวง หรือบัวบูชาพระ และจะมีความกรอบกว่าสายบัว นิยมนำมาทำแกงส้ม หรือผัดน้ำมันกับเนื้อสัตว์ต่างๆ

วอเตอร์เครส



วอเตอร์เครส

ชื่อวิทยาศาสตร์        Nasturtium officinale
ชื่อสามัญ                water cress
วงศ์                      Brassicaceae
 
ลักษณะ :
สลัดน้ำมีสองสายพันธุ์คือ
  1. พันธุ์สีเขียว เป็นสายพันธุ์ที่ต้องการสภาพอากาศอบอุ่น ไม่ทนต่ออุณหภูมิต่ำติดดอกและเมล็ดง่าย
  2. พันธุ์สีน้ำตาล เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างทนทานต่ออุณหภูมิต่ำ ติดดอกและเมล็ดยาก ขยายพันธุ์โดยการปักชำต้น
สลัดน้ำเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูง รากจะเจริญได้ดีในพื้นที่ ๆ มีระดับน้ำตื้น (5-10 เซนติเมตร) มีน้ำสะอาดไหลผ่านช้า ๆ ตลอดเวลา การปลูกในที่ ๆ ไม่มีการหมุนเวียนของน้ำ จะทำให้น้ำเน่าเสีย และสลัดน้ำจะตาย ในกรณีที่ไม่สามารถหาแหล่งปลูกในที่มีน้ำไหลผ่านได้ อาจจะปลูกตามขอบบ่อ โดยสูงกว่าระดับน้ำ 15 เซนติเมตร และบังร่มเงา หรืออาจจะปลูกในพื้นที่ ๆ ร่มรำไร และให้น้ำแบบพ่นฝอยวันละสองครั้ง
การปลูกเพื่อบริโภคในครอบครัว และปลูกเป็นไม้ประดับ อาจจะปลูกในกระถางหรือถาดปลูก โดยการผสมวัสดุปลูกลงไปในภาชนะ สูง 5-7 เซนติเมตร ใช้ถาดรองภาชนะและใส่น้ำให้สม่ำเสมอ วางไว้ใกล้หน้าต่างหรือที่ ๆ ได้รับแสงรำไร

มะระ


มะระ




ชื่อวิทยาศาสตร์        Momordica charantia Linn. 
ชื่อสามัญ                Bitter cucumber-chinese 
วงศ์                      CUCURBITACEAE
ชื่ออื่นๆ                  ผักเหย, ผักไห, มะร้อยร,ู มะห่อย, มะไห,่ สุพะซ,ู สุพะเด
 
ลักษณะ :
ไม้เถา มีมือเกาะ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ กว้างยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร ขอบใบหยักเป็นซี่ห่างๆ ใบเว้าเป็นแฉกลึก 5-7 แฉก ใบและลำต้นมีขนสากอยู่ทั่วไป ดอกสีเหลือง ออกเดี่ยวตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน รูปแตร ปลายกลีบดอกแยกเป็น 5 แฉก เมื่อบานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 เซนติเมตร มะระมี 2 ชนิด คือ มะระไทยหรือมะระขี้นก และมะระจีน ซึ่งต่างกันที่ลักษณะและขนาดของผล ผลมะระขี้นก มีขนาดเล็กกว่า ยาว 3-5 เซนติเมตร ผลรูปกระสวย ผิวขรุขระ สีเขียวเข้ม เมื่อสุกมีสีเหลือง ส่วนมะระจีนมีขนาดใหญ่กว่า เส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 เซนติเมตร ยาว 12-30 เซนติเมตร รูปทรงกระบอก สีเขียวอ่อน ผิวขรุขระ ผลมะระทั้งสองชนิดมีรสขม

มะระที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ
1. มะระพันธุ์ขี้นก มะระชนิดนี้เป็นพันธุ์ป่า มีผลที่เล็ก รูปร่างป้อมเรียว ผวไม่เรียบ ขรุขระเป็นหนามแหลม รสขมจัด เนื้อบาง ขึ้นตามชายรั้วบ้านหรือชายป่า
2.มะระพันธุ์จีน มะระชนิดนี้มีผลโต รูปร่างยาว ยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร ผิวสีเขียวอ่อน รสขมน้อย เนื้อหนาเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก และนิยมปลูกกันมาก
3.มะระพันธุ์สองพี่น้อง มะระพันธุ์นี้เป็นมะระที่เก็บเมล็ดจากมะระจีน จึงกลายพันธุ์มา มะระสองพี่น้องมีผลโตน่ารับประทาน
4.มะระพันธุ์ย่างกุ้ง มะระพันธุ์นี้มีผลเล็ก แต่มีรูปร่างยาว ผิวขรุขระเป็นหนามแหลมปลายผลและหัวผลมีรสดีขมน้อย

มะเขือเทศ




มะเขือเทศ

ชื่อวิทยาศาสตร์        Lycopersicon esculuentum Mill.
ชื่อสามัญ                Tomato
วงศ์                      Solanaceae
ชื่ออื่นๆ                  มะเขือ (ทั่วไป) มะเขือส้ม (ภาคเหนือ) ตรอบ (สุรินทร์) น้ำเนอ (เชียงใหม่)
 
ลักษณะ :
เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น

ฟักทอง



ฟักทอง

ชื่อวิทยาศาสตร์        Cucurbita moschata Decne.
ชื่อสามัญ                Pumpkin
วงศ์                      CUCURBITACEAE
 
ลักษณะ :
ฟักทองเป็นไม้เถาเลื้อยไปตามดิน มีมือสำหรับยึดเกาะ ลำต้นอวบน้ำ ใบเดี่ยวรูปห้าเหลี่ยม มีขนทั้งสองด้าน ดอกสีเหลืองรูปกระดิ่ง ผลฟักทองมีด้วยกันหลายลักษณะ บางครั้งเป็นผลเกือบกลมก็มี แต่โดยทั่วไปเป็นรูปทรงกลมแป้น ผิวขรุขระเล็กน้อย เมื่อยังดิบเนื้อค่อนข้างแข็ง นอกจากเนื้อของผลฟักทองจะใช้เป็นอาหารแล้ว เมล็ดฟักทองก็ใช้เป็นอาหารว่างได้ด้วย
ในประเทศตะวันตก นิยมนำฟักทองมาเจาะเป็นช่อง มีจมูก ตา แล้วใส่เทียน หรือดวงไฟข้างในเพื่อฉลองในวันฮาโลวีน เรียกว่า แจคโอแลนเทิน' (Jack-o'-lantern pumpkin)
ฟักทองมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้ทำให้เซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลงในเนื้อฟักทองมีแคโรทีนและแป้ง ใช้แต่งสีขนมเช่น ขนมฟักทอง ลูกชุบ โดยนำเนื้อนึ่งสุกมายีกับแป้งหรือถั่วกวน

พริกไทยอ่อน



พริกไทยอ่อน


ชื่อวิทยาศาสตร์        Piper nigrum Linn.
ชื่อสามัญ                Pepper
วงศ์                      PIPERACEAE
 
ลักษณะ :
เป็นไม้เถาค้างปี มีกิ่งก้านสาขามาก มีข้อตามลำต้นและรากงอกออกจากข้อ ช่วยจับยึดพยุงลำต้น ลักษณะคล้ายพลู และดีปลีมาก เพราะอยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน ใบค่อนข้างหนา แข็ง ดอกมีขนาดเล็ก สีเขียว ออกเป็นช่อ ช่อละประมาณ ๗๐-๘๐ ดอก ผลขนาดเล็กเป็นพวง เมื่ออ่อนเปลือกสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแสดแดงเมื่อสุก เมล็ดตากแห้งแล้วผิวเปลี่ยนเป็นสีดำ เหี่ยวย่น เรียกว่าพริกไทยดำ หากนำเปลือกออกจะมีสีขาวเรียกว่า พริกไทยขาวหรือพริกไทยล่อน

พริกขี้หนู



พริกขี้หนู

ชื่อวิทยาศาสตร์        Capsicum frutescens Linn.
ชื่อสามัญ                Chilli Padi, Bird's Eye Chilli, Bird Chilli, Thai pepper
วงศ์                      Solanaceae
ชื่ออื่นๆ                  พริกขี้หนู - พริกนก พริกแต้ พริกแด้ (เหนือ) พริกขี้นก ดีปลีขี้นก (ใต้) ดีปลี (ปัตตานี) ปะแกว (นครราชสีมา) หมักเพ็ด พริกแกว (อีสาน) พริกชี้ฟ้า - พริกเดือยไก่ (เหนือ) พริกมัน (กรุงเทพ) พริกยักษ์ - พริกหวาน พริกฝรั่ง
 
ลักษณะ :
พริกเป็นพืชที่มีอายุได้หลายฤดู  ลำต้นตั้งตรง  สูงประมาณ 1-1.25 ฟุต  ใบแบนเรียบเป็นมัน  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดเล็ก  กลีบดอกจะมีสีขาว 
หรือสีม่วง  เกสรตัวผู้ 1-10 อัน  เกสรตัวเมีย 1-2 อัน  ผลหลายขนาด  ผลขนาดเล็กยาวประมาณ 1-1.5 นิ้ว  ลูกอ่อนสีเขียวเข้ม  เมื่อแก่เป็นสีแดง  การปลูกพริก
ชอบดินร่วนซุย   และอากาศร้อน

ผักบุ้ง



ผักบุ้ง

ชื่อวิทยาศาสตร์        Ipomcea aquatica 
ชื่อวิทยาศาสตร์        Ipomcea aquatica Forsk
ชื่อสามัญ                Swamp Morning Glory, Water Morning Glory
วงศ์                      CONVOLVULACEAE
ชื่ออื่นๆ                  ผักทอดยอด(กรุงเทพฯ) ผักบุ้งไทย(กลาง) ผักบุ้ง(ทั่วไป)ผักบุ้งแดง ผักบุ้งไทย ผักบุ้งนา กำจร(ฉานขแม่ฮ่องสอน)
 
ลักษณะ :
   ผักบุ้งเป็นไม้น้ำและเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือในที่ลุ่มที่มีความชื้นหรือดินแฉะๆ ลำต้น 
กลวงสีเขียวมีข้อปล้องและมีรากออกตามข้อได้เป็นใบเดี่ยวออกแบบสลับเช่นรูปไข่รูปไข่แถบขอบขนานรูปหอก 
รูปหัวลูกศรขอบใบเรียบหรือมีควั่นเล็กน้อยปลายปลายใบแหลมหรือมนฐานใบเว้าป็นรูปหัวใจใบยาว3-15ซม. 
กว้าง1-9ซม. ดอกเป็นรูประฆังออกที่ซอกใบแต่ละช่อมีดอกย่อย1-5ดอก กลีบเรียงสีเขียวกลีบดอกมีทั้งสีขาว สีม่วงแดง สีชมพูม่วงกลีบดอกจะติดกันเป็นรูปกรวยมีสีขาวอยู่ด้านบนและมีสีม่วงหรือสีชมพูอยู่ที่ฐาน 
เกสรตัวผู้มี 5 อันยาวไม่เท่ากันผลเป็นแบบแคปซูลรูปไข่หรือกลมสีน้ำตาลมีเมล็ดกลมสีดำ
Forsk
ชื่อสามัญ     
ชื่ออื่นๆ                  ผักทอดยอด(กรุงเทพฯ) ผักบุ้งไทย(กลาง) ผักบุ้ง(ทั่วไป)ผักบุ้งแดง ผักบุ้งไทย ผักบุ้งนา กำจร(ฉานขแม่ฮ่องสอน)


ลักษณะ :

   ผักบุ้งเป็นไม้น้ำและเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือในที่ลุ่มที่มีความชื้นหรือดินแฉะๆ ลำต้น 
กลวงสีเขียวมีข้อปล้องและมีรากออกตามข้อได้เป็นใบเดี่ยวออกแบบสลับเช่นรูปไข่รูปไข่แถบขอบขนานรูปหอก 
รูปหัวลูกศรขอบใบเรียบหรือมีควั่นเล็กน้อยปลายปลายใบแหลมหรือมนฐานใบเว้าป็นรูปหัวใจใบยาว3-15ซม. 
กว้าง1-9ซม. ดอกเป็นรูประฆังออกที่ซอกใบแต่ละช่อมีดอกย่อย1-5ดอก กลีบเรียงสีเขียวกลีบดอกมีทั้งสีขาว สีม่วงแดง สีชมพูม่วงกลีบดอกจะติดกันเป็นรูปกรวยมีสีขา

ปูเล่



ปูเล่

ชื่อวิทยาศาสตร์        Brassica oleraceae L. cv. gr. Collard
ชื่อสามัญ                Spinach
วงศ์                      Cruciferae
 
ลักษณะ :
" ปูเล่ "  เป็นกะหล่ำจากเมืองใต้  แต่เติบโตได้ดีในสภาวะอากาศทุกภาคของประเทศไทย  ทนทานต่อโรคแมลงศัตรูพืช ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ปลอดภัยจากสารพิษ  ปลูกแสนจะง่าย ตัดใบกินได้ตลอดนานยาวกว่า 2 ปี โดยริดหรือตัดใบจากส่วนโคนขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งต้นปูเล่ก็จะสูงขึ้นเช่นกัน  ส่วนทึ่ถูกตัดไปจะเป็นแผลที่ลำต้น  คล้ายมะละกอ สักพักบริเวณนี้จะมีแขนงอ่อนแตกออกมามากมาย  รอจนแขนงยาวเกิน 5 ซมและแตกใบ ก็ตัดไปชำในขี้เถ้าแกลบ ทิ่งไว้ในร่มรำไร รดนำทกวันประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็ย้ายไปปลูกในกระถางใหญ่ อีก 3 เดือนก็เก็บกินได้  ควรรดปุ๋ยเดือนละ  2 ครั้ง  และจะให้ดีต้องมีใบเหลือติดต้นไว้บ้าง เราก็จะมีกะหล่ำสด ไว้ผัดจืด  ผัดเผ็ด  ต้มจิ้มน้ำพริก กินสดกับเมี่ยงได้ตลอดไป

ใบปอ



ใบปอ

ชื่อวิทยาศาสตร์        Corchorus capsularis Linn.
ชื่อสามัญ                Jute
วงศ์                      Tiliaceae
ชื่ออื่นๆ                 กระเจา กาเจา ( ไทย ) เส้ง ปอเส้ง ( พายัพ )
 
ลักษณะ :
ปอกระเจาจัดเป็นพืชล้มลุก มีอายุประมาณ 1 ปี สูงประมาณ 1 เมตร ต้นมักมีสีม่วง ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ แหลมเรียงสลับกัน ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบบาง ตรงฐานใบมีเส้นเล็กๆสีแดงอยู่ 2 เส้น เป็นลักษณะของพืชในตระกูลนี้ (Corchorus) ดอกมีสีเหลืองขนาดเล็ก ออกเป็นกระจุกระหว่างซอกใบกับกิ่ง ผลกลมเป็นพู 5 พู ผิวขรุขระ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.7 - 1 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกออก ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมาก

น้ำเต้า




น้ำเต้า

ชื่อวิทยาศาสตร์     Lagenaria siceraia (Molina) Standley.
ชื่อสามัญ             Bottle gourd, Calabash gourd หรือ Flowered gourd 
วงศ์                   CUCURBITACEAE
ชื่ออื่นๆ               ชาวกะเหรี่ยงเรียก คิลูส่า  ส่วนทางเหนือเรียก   มะน้ำเต้า  
 
ลักษณะ :
น้ำเต้าเป็นไม้เถา ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีความยาวกว่า 10 เมตร ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีมือเกาะที่แยกออกเป็น 2 ทาง ใบมีขนาดใหญ่คล้ายรูปหัวใจ ผิวใบ ขนนุ่มทั้ง 2 ด้าน มีรอยหยักบริเวณใบ 5-9 หยัก ก้านใบยาวประมาณ 20 ซม. รากจะเป็นระบบรากตื้น ในส่วนของผลมีตั้งแต่ ขนาด เล็กจนถึงขนาดใหญ่ผลมีเนื้อในสีขาวหรือสีเขียวค่อนข้างจะนุ่ม เปลือกมีสีเขียวเป็นลาย จริง ๆ แล้วน้ำเต้ามีอยู่หลายสายพันธุ์ อาทิ น้ำเต้าพื้นบ้าน น้ำเต้าทรงเซียน ซึ่งเป็นทรงที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ ถ้าเราดูหนังจีนจะเห็นว่ามีน้ำเต้าทรงเซียนที่นักแสดงนำมาประกอบฉาก แต่น้ำเต้าพื้นบ้านเราก็สามารถนำมาตากแห้งเคลือบแล็กเกอร์ทำเป็นเครื่องประดับ ก็ได้แต่ไม่ค่อยนิยม กันเท่าไรนัก เนื่องจากผิดกัน ตามรูปทรง ส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานมากกว่า
 
คุณค่าทางอาหาร
แคลอรี กรัม/ ๑๐๐ กรัมน้ำหนักแห้ง
พลังงาน            ความชื้น                 โปรตีน               ไขมัน                คาร์โบไฮเดรต              ใยอาหาร              เถ้า
๑๕                  ๙๔.๕                    ๑.๒                  ๐.๒                     ๓.๗๕                     ๐.๗                ๐.๕
มิลลิกรัม/ ๑๐๐ กรัมน้ำหนักแห้ง
แคลเซียม      ฟอสฟอรัส      โซเดียม      โพแทสเซียม      โครเมียม         เหล็ก      ไทอะมีน        ไรโบฟลาวิน       ไนอะซีน      กรดแอสคอบิก
๑๒                  ๓๗            ๑.๗              ๘๗             ๐.๐๕          ๐.๘         ๐.๐๓             ๐.๐๕             ๐.๓               ๑๒
 
ประโยชน์
แพทย์แผนไทยใช้รากน้ำเต้าขมเป็นยาแก้ดีแห้ง ขับน้ำดีให้ตกลำไส้   ใบน้ำเต้าเป็นยาดับพิษ  แก้ตัวร้อน  ร้อนในกระหายน้ำ  พบว่ายาเขียวทุกชนิดมักเข้าใบน้ำเต้าหมด 
น้ำเต้าเป็นยาภายนอก นำใบสดโขลกผสมกับเหล้าขาว ทาถอนพิษร้อน แก้ฟกช้ำ บวม แก้อาการพองตามตัว แก้เริม งูสวัดได้ดีมาก 
ชาวอินเดียใช้ประกอบอาหารให้ผู้ป่วยเบาหวานและโรคความดันเลือด  บทความต่างประเทศกล่าวถึงฤทธิ์ขับปัสสาวะของเปลือกลำต้นและเปลือกผลน้ำเต้า
น้ำคั้นผลมีฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและแผลกระเพาะอาหาร  ที่ประเทศจีนและอินเดียมีการกินน้ำเต้าเพื่อควบคุมเบาหวาน มีเว็บไซต์เสนอเมนูคุมเบาหวานใช้น้ำเต้าหลายแห่ง
 
สรรพคุณทางยา
1. โรคเบาหวาน
2. ท่อปัสสาวะอักเสบ
3. โรคปอดอักเสบ จะใช้ส่วนที่เป็นเปลือกสดรับประทาน
4. แก้ปวดฝีในเด็ก โดยใช้น้ำเต้าหั่นเป็นชิ้น ๆ ผสมขิงต้มเป็นน้ำซุปรับประทาน
5. โรคลูกอัณฑะบวมให้ใช้ลูกน้ำเต้ามาต้มรับประทาน
6. โรคทางลำคอให้ใช้ลูกน้ำเต้าที่แก่ ๆ ตัดจุก แล้วใส่น้ำไว้รับประทานเป็นโรคประจำจะสามารถป้องกันรักษาโรคทางลำคอได้

ตำลึง



ตำลึง

ชื่อวิทยาศาสตร์     Coccinia grandis (L.) Voigt
ชื่อสามัญ             Ivy Gourd
วงศ์                   Cucurbitaceae
ชื่ออื่นๆ                ผักแคบ (ภาคเหนือ) แคเด๊าะ (กระเหรี่ยงและแม่ฮองสอน) ตำลึง,สี่บาท (ภาคกลาง) ผักตำนิน (ภาคอีสาน)
 
ลักษณะ :
ตำลึงละตำลึงเป็นผักพื้นบ้านหากินได้ทุกหัวระแหง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นตำลึงขึ้นพันไม้อื่นหรือไม่ก็ขึ้นตามริมรั้วจะเรียกผักริมรั้วก็คงไม่ผิด ปกติบ้านใครมีที่มีทางก็แทบไม่ต้องซื้อหาให้เปลือง แต่ถ้าอยู่ในเมืองลองไปเมียงๆมองๆแถวตลาดสดหรือตลาดติดแอร์ดูเถอะ รับรองไม่ผิดหวัง ตำลึงมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก และที่เห็นจะถูกใจคนรักสุขภาพแน่ ๆ ก็คือ ตำลึงมีเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากนี้ยังให้แคลเซียมอีกด้วย ส่วนใครที่มีปัญหาขับถ่าย น่าลองมารับประทานดู เพราะตำลึงมีกากใยที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี
ตำลึง เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีมือจับ เพื่อเกาะยึดหลักหรือต้นไม้อื่นๆ ลำเถาสีเขียว
ใบ เป็นใบเดี่ยวสลับกันไปตามเถา ฐานใบรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ขอบใบหยักแบบฟันเลื้อยตื้นๆ หยักเว้า 5 แฉก เส้นใบแยกจากโคนใบที่จุดเดียวกัน 5-7 เส้น ใบกว้าง 3-4 เซนติเมตร ก้านใบยาว 3-5 เซนติเมตร
ดอก เป็นดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ ออกเดี่ยวๆหรือออกเป็นกลุ่ม 2-3 ดอก เป็นไม้ที่ไม่สมบูรณ์เพศ คือ เพศผู้และเพศเมียจะอยู่คนละต้นกัน ซึ่งสังเกตได้จากใบ ถ้าใบหยักมากเป็นเพศผู้ แต่ดอกจะสีขาวทรงกระบอก หัวแฉกเหมือนกัน
ผล มีรูปร่างคล้ายแตงกวา แต่มีขนาดเล็กกว่า ผลที่อ่อนมีสีเขียว และมีลายขาว พอสุกจะกลายเป็นสีแดงสด เนื้อลักษณะสีแดง สามารถรับประทานได้
 
คุณค่าทางอาหาร
ยอดของตำลึงใช้ปรุงอาหาร ตำลึง 100 กรัม ประกอบไปด้วยโปรตีน 3.3 กรัม วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม แคลเซียม 126 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก4.6 มิลลิกรัม ไนอาซีน 1.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม ใยอาหาร 2.2 กรัม และเบต้าแคโรทีนสูงถึง 699.88 ไมโครกรัม มากกว่าฟักทองและมันเทศซึ่งมีเบต้าแคโรทีน 225 และ 175 ไมโครกรัมตามลำดับ ต่อปริมาณ 100 กรัมเหมือนกัน
 
ประโยชน์
ใบ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน ดับพิษฝี แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอก แก้คัน เมล็ด ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถา ใช้น้ำจากเถาหยดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก ดับพิษทั้งปวง แก้ตาฝ้า ลดไข้ แก้อาเจียน น้ำยาง,ต้น,ใบ,ราก แก้โรคเบาหวาน หัว ดับพิษทั้งปวง
 
สรรพคุณทางยา
รักษาโรคเบาหวาน : ใช้เถาแก่ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ : ควรรับประทานสด ๆ เพราะเอนไซม์ในตำลึงจะย่อยสลายง่ายเมื่อโดนความร้อน
ลดอาการคัน อาการอักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อยและพืชมีพิษ : นำใบตำลึงสด 2-20 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหาย (ใช้ได้ดี สำหรับหมดคันไฟ หรือใบตำแย)
แผลอักเสบ : ใช้ใบหรือรากสด ตำพอกบริเวณที่เป็น
แก้งูสวัด, เริม : ใช้ใบสด 2 กำมือ ล้างให้สะอาด ผสมพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน พอกหรือทาบริเวณที่เกิดอาการ
แก้ตาช้ำตาแดง : ตัดเถาเป็นท่อนยาวประมาณ 2 นิ้วนำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา
ทำให้ใบหน้าเต่งตึง : นำยอดตำลึง 1/2 ถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย นำมาผสม ปั่นให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันได้จะดีมาก
  • ใบใช้ในการแก้ไข้ตัวร้อน ตาแดง ตาเจ็บ
  • เถานำน้ำต้มจากเถาตำลึงมาหยอดตาแก้ตาแดง ตาฟาง
  • ดอกตำลึงช่วยทำให้หายจากอาการคันได้
  • รากใช้แก้อาการอาเจียน ตาฝ้า
  • น้ำยางจากต้นและใบช่วยลดน้ำตาลในเลือด






ขึ้นฉ่าย

ชื่อวิทยาศาสตร์    Aqium graveolens L. vat. Dulce Pers.
วงศ์                  UMBELLIFERAE
ชื่อสามัญ           Celery
ชื่อท้องถิ่น          ผักปิ๋ม ผักข้าวปืน ผักปืน(เหนือ) ฮั่งชื่ง ขึ่งฉ่าย(แต้จิ๋ว) ฮั่นฉิน ฉันฉ้าย (จีนกลาง)
 
ลักษณะ :
ขึ้นฉ่ายเป็นพืชล้มลุก มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัว ลักษณะลำต้นและใบคล้ายผักชีแต่ใหญ่กว่า ใบเป็นใบประกอบขอบใบหยักมีลักษณะเป็นแฉกรูปร่างคล้ายมือ ดอกมีสีขาวขนาดเล็ก ออกเป็นช่อ ก้านดอกคล้ายซี่ร่ม ผลมีขนาดเล็กสีขาว ภายในมี 1 เมล็ด เมื่อผลสุกเต็มที่จะแตกออกเป็น 2 ซีก ขึ้นฉ่ายที่พบมีอยู่ 2 พันธุ์ พันธุ์ฝรั่งเรียกว่าเซลเลอรี่ ซึ่งมีลำต้นอวบใหญ่และมีสีอ่อนกว่าพันธุ์จีนที่เรียกว่าเซเลอริค
  เป็นพืชล้มลุกมีอายุ 1 - 2 ปี สูง 40 - 60 เซนติเมตร ใบประกอบแบบ ขนนกออก ตรงข้าม สีใบเป็น สีเหลืองอมเขียว ใบย่อยเป็นรูปลิ่มหยัก ขอบใบหยัก ก้านใบยาวแผ่ออกเป็นกาบ ดอกช่อสีขาว เป็นช่อดอกแบบซี่ร่ม (compound umbels) ผลมีขนาดเล็กมากเป็นสีน้ำตาล
 
สารสำคัญที่พบ :
  ผลของขึ้นฉ่ายเมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำให้น้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารดี-ไลโมนีน ซีลินีนและสารจำวพธาไลเตส ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว นอกจากนี้ยังพบสารอื่นอีกหลายชนิด แต่พบในปริมาณน้อย เช่น แซนตารอล ยูเดสมอล ไดไฮโดรคาร์โวน และกรดไขมัน
       ส่วนในชันน้ำมัน จะมีสารที่ทำให้เกิดกลิ่นฉุน โดยมีสารจำพวกเทอร์ฟีนในปริมาณต่ำ นอกจากนี้ยังมีสารอะพิอิน สารจำพวกฟลาโวนอยด์ และคุณค่าทางสารอาหารเช่น เบต้า-แคโรทีน เกลือแร่ แคลเซียม และฟอสฟอรัส ในปริมาณสูง
 
สรรพคุณทางยา :
   สรรพคุณเด่นของต้นและใบขึ้นฉ่ายคือ ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิตโดยอาจจะรับประทานเป็นผักหรือนำมาคั้นน้ำรับประทานส่วนสรรพคุณที่รองลงมาคือ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ช่วยบำรุงประสาทให้มีความจำดี บำรุงกระดูกและฟัน ซึ่งเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์และเด็กที่เป็นโรคกระดูกอ่อน เพราะมีแคลเซียมสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และมีเบต้า-แคโรทีนซึ่งเป็นสารต่อต้านออกซิเดชั่น ส่วนรากใช้รักษาโรคเกาต์และอาการปวดตามข้อ เมล็ดช่วยในการขับลมบำรุงธาตุ
    ทั้งต้น ลดความดันโลหิต รักษานิ่ว มีปัสสาวะเป็นเลือด และฝีฝักบัว เมล็ด ใช้ขับลมและเป็นยาระงับอาการปวด รากใช้รักษาอาการปวดตามข้อ เก๊าท์ ใช้เป็นยาบำรุงและขับปัสสาวะ
 
ข้อควรระวัง
1. ขึ้นฉ่ายเหมาะสำหรับนำมาปรุงอาหารให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเพราะมีสารโซเดียมน้อย
2. สามารถรับประทานขึ้นฉ่ายสดเพื่อควบคุมน้ำหนักได้ เพราะให้พลังงานต่ำ
3. มีรายงานจากการทดลองว่า การรับประทานขึ้นฉ่ายในปริมาณมากและติดต่อกันหลายวัน จะมีผลทำให้ตัวอสุจิลดน้อยลงถึงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชิตแบบชั่วคราวอีกวิธีหนึ่งแต่ต้องใช้ร่วมกับการคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นด้วย และหลังจากหยุดรับประทานเชื้ออสุจิก็จะมีจำนวนปกติ
4. ในบางรายอาจมีอาการแพ้จากการสัมผัสต้นขึ้นฉ่ายจนถึงขั้นรุนแรงได้ และพบว่าสารสกัดจากต้นขึ้นฉ่ายช่วยเร่งให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมากขึ้น
5. เมล็ดขึ้นฉ่ายเมื่อนำมาสกัดด้วย Petroleum ether จะได้สารที่ช่วยไม่ให้น้ำมันมีกลิ่นเหม็นหืน
6. สามารถป้องกันโรค silicosis (โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการสูดฝุ่นที่มีส่วนประกอบของซิลิก้า) ได้
7. ไม่ควรผัดหรือต้มขึ้นฉ่ายให้สุกนานเกินไป เพราะจะทำลายวิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ให้หมดไป
8. น้ำมันขึ้นฉ่าย ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ครีม สบู่ ยาทาผิว

แครอท



แครอท

ชื่อวิทยาศาสตร์    Daucus carota L.
วงศ์                  Umbelliferae
ชื่อสามัญ            Carrot
ชื่ออื่นๆ               ผักกาดหัวเหลือง ผักหัวชี
 
ลักษณะ :
แครอทเป็นไม้ล้มลุก อายุ 1 - 2 ปี หัวเป็นสีส้ม และมีสารแคโรทีนอยู่เป็นจำนวนมาก รากยาวเรียว ใบมีลักษณะเป็นฝอย แครอท เป็นพืชกินหัวชนิดหนึ่ง มีลักษณะยาว หัวแครอทมีหลายสี เช่น เหลือง ม่วง ส้ม แต่ที่นิยมรับประทานในปัจจุบันคือสีส้ม เป็นพืชแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแท่งดินสอ หรือที่เรียกว่าเบบี้แครอท ไปจนถึง ขนาดใหญ่
มีถิ่นกำเนิด อยู่แถบเอเชียกลาง จนถึงทางตะวันออก ต่อมาได้เผยแพร่เข้าไปใน ยุโรป และประเทศจีน แครอทเป็นพืชสองฤดู โดยฤดูแรกเจริญทางต้น ใบ และราก  ฤดูที่สองจะเจริญทางดอก และเมล็ด ลักษณะลำต้นเป็นแผ่นใบ จะเจริญจากลำต้น เป็นกลุ่มมีก้านใบยาว  ประกอบด้วย เปลือกบาง(Periderm) และส่วนของเนื้อ(Cortex) ซึ่งประกอบด้วยท่ออาหาร และเป็นแหล่งเก็บ อาหารสำรอง ส่วนใหญ่อยู่ในรูป ของน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ 45-65% ของหัว เนือสีขาว เหลือง ส้ม แดง ม่วงและดำ ส่วนของแกน(inner core) ประกอบด้วย ท่อน้ำ(xylem) และแกน(pith) แครอท สายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูง จะมีแกนขนาดเล็ก และมีสีเดียว กับเนื้อหรือมีส่วนของเนื้อ มากกว่าส่วนของแกน การปลูกฤดูที่สองเพื่อผลผลิตเมล็ดพันธุ์ลำต้นจะยืดตัว สร้างก้านดอกยาว 2-4 ฟุต บนยอดมีช่อดอก ซึ่งช่อแรกจะเจริญ จากส่วนกลางของลำต้น ต่อจากนั้นช่ออื่นๆ จะเจริญตาม การผสมเกสรจะเป็น แบบผสมข้าม ส่วนใหญ่ แมลงเป็นตัวช่วยผสมเกสร
 
คุณค่าทางอาหาร
แครอท เป็นพืชที่อุดมไปด้วยสาร Beta carotene โดยเฉพาะบริเวณส่วนของเปลือกแก่ ซึ่งสามารถเปลี่ยน เป็นวิตามินเอสูง (11,000 IU) นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินบี วิตามินเอ ช่วยทำให้ร่างกาย มีภูมิต้านทานโรคหวัด ป้องกันมะเร็ง ป้องกันอาการผิดปกติ ในกระดูก โรคผิวหนัง และรักษาสายตา
 
ประโยชน์ :
สารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งเซลล์ของมะเร็ง ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งในปอดได้ ซึ่งคนที่กินผักที่มีเบต้าแคโรทีนน้อยที่สุด จะเสี่ยงต่อมะเร็งในปอดมากเป็นเจ็ดเท่าของคนที่กินมากที่สุด นอกจากนั้นแล้วก็ยังช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดี
        และยังมีแคลเซียมเพคเตทที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ลดการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว นอกจากนั้นในแครอทยังมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงและลดการเสื่อมของตา มีสารต่างๆ ที่เป็นทั้งเกลือแร่และวิตามินอีกมากมาย เช่นธาตุแคลเซียม มีฟอสฟอรัส เหล็ก มีวิตามินเอ บี1 บี2 และวิตามินซี อีกทั้งยังช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนังและเส้นผมให้มีสุขภาพดีอีกด้วย
    หัวแครอทมีวิตามินเอสูง ใช้รับประทานเพื่อบำรุงสายตา แก้โรคตาฟาง ใช้เป็นยาขับปัสสาวะเนื่องจากมีปริมาณเกลือโปแตสเซี่ยมสูง และยังสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือนได้อีกด้วย
   แครอทมีสาร "เบต้าแคโรทีน" ที่ช่วยยับยั้งเซลล์ของมะเร็งและต่อต้านการสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นกำเนิดเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี มีส่วนช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกาย แคลเซียมเพคเตทในแครอท ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ลดการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว บำรุงเซลล์ผิวหนังและเส้นผม นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส เหล็ก มีวิตามินเอ บี1 บี2 และวิตามินซี แต่การกินแครอทสีส้มจำนวนมากเป็นประจำจะทำให้สีผิวเป็นสีเหลือง
 
เคล็ดลับ :
เคล็ดลับของการรับประทานแครอทให้ได้คุณค่านั้นมีอยู่ว่า ควรนำไปปรุงให้สุกเสียก่อน ความร้อนจะช่วยทำลายผนังเซลล์ของแครอท ทำให้ร่างกายนำเลต้าแคโรทีนไปใช้ในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง และหากนำแครอทนึ่งสุกบดละเอียด พอกหน้า 5-10 นาที ผิวจะดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดีขึ้นได้ ชาวอเมริกันใช้แครอทเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ใช้เป็นยาครอบจักรวาลรักษาได้หลายโรค เช่น แก้โรคประสาท โรคผิวหนัง และหืดหอบ อย่างไรก็ตามควรทานอาหารให้หลากหลายด้วย จะช่วยเพิ่มพูนประโยชน์จากอาหารให้มากขึ้น


กุยช่าย

ชื่อวิทยาศาสตร์    Allium tuberosum Rott-Ler EX Sprengel
ชื่อสามัญ           Chinese chive
 
ลักษณะ :
กุยช่ายเป็นผักตระกูลเดียวกับหอม การขยายพันธุ์โดยการใช้การแบ่งกอ หรือเพาะเมล็ด หัวกุยช่ายสามารถผลิใบและลำต้นขึ้นมาได้อีกหลังจากตัดเอาส่วนของใบไปบริโภค โดยปล่อยให้ส่วนหัวอยู่ใต้ดิน กุยช่ายเป็นผักที่เจริญเติบโตคล้ายๆกับต้นหอม ใบมีลักษณะแบนยาวสีเขียวเข้ม มีกลิ่นหอม ต้นหนึ่งจะมีใบประมาณ 4 -5 ใบ ต้นสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร สามารถเจริญเติบโตในดินแทบทุกชนิด แต่ชอบดินร่วน มีการระบายน้ำดี กุยช่ายสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี กุยช่ายเป็นพันธุ์ที่มาจากประเทศใต้หวัน มีพันธุ์ก้านดอกยาว พันธุ์ใบใหญ่
 
คุณค่าทางอาหาร :
ต้นกุยช่าย 100 กรัม ให้พลังงาน 28 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.1 กรัม แคลเซียม 98 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 46 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 136.79 ไมโครกรัม เส้นใย 3.9 กรัม
ดอกกุยช่าย 100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 6.3 กรัม แคลเซียม 31 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม เกล็ก 1.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 152.92 ไมโครกรัม เส้นใย 3.40 กรัม
 
การใช้ประโยชน์ทางยา
ต้นและใบ ใช้แก้โรคนิ่ว โดยนำมาดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าและสารส้มเล็กน้อย กรองเอาน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา เป็นยาแก้หวัด บำรุงกระดูก ทาท้องเด็ก แก้ท้องอืด และแก้ลมพิษ สตรีหลังคลอด หากกินแกงเลียงใบกุยช่ายจะช่วยเพิ่มน้ำนม เมล็ด เป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายและพยาธิแส้ม้า นอกจากนี้กุยช่ายยังให้กากอาหาร ช่วยสร้างสมดุลแก่ระบบย่อยอาหาร ช่วยให้ท้องไม่ผูก
- แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

- แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

- แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

- รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

- บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

ตำรับยาที่ใช้ได้แก่ หากถูกตีฟกช้ำเอากุยช่ายสดตำให้แหลกพอกบริเวณที่เป็นจะสามารถแก้อาการฟกช้ำ ห้อเลือดและแก้ปวดได้ หรือเวลาที่เป็นแผลมีหนองเรื้อรัง ใช้ใบสดๆ ล้างให้สะอาดพอกที่แผล หรืออาจผสมดินสอพอง ในอัตราส่วนใบกุยช่าย ๓ ส่วน ดินสองพอง ๑ ส่วน บดให้ละเอียดจนเหลวข้นแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ ๒ ครั้ง ในกรณีที่บวมฟกช้ำเนื่องจากถูกกระแทก
    ส่วนคนที่เป็นแผลริดสีดวงทวารก็แนะนำให้ใช้ใบกุยช่ายสดๆ ใส่น้ำต้มให้ร้อน จากนั้นนั่งเหนือภาชนะเพื่อให้ไอรมจนน้ำอุ่น หรือใช้น้ำต้มล้างที่แผลวันละ ๒ ครั้ง หรือจะใช้ใบหั่นฝอยคั่วให้ร้อน ใช้ผ้าห่อมาประคบบริเวณที่เป็น จะทำให้หัวริดสีดวงหดเข้า
    นอกจากฤทธิ์ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแล้ว ยังเชื่อว่าถ้าแมลงหรือตัวเห็บเข้าหูให้เอาน้ำคั้นกุยช่ายหยอดเข้าไปในหู จะทำให้แมลงหรือเห็บไต่ออกมาเอง ในกรณีนี้ห้ามใช้นิ้วหรือของแข็งแคะออก
    กุยช่ายยังเป็นสมุนไพรที่ผู้หญิงควรรู้จักสรรพคุณในการใช้เป็นอย่างยิ่ง คือถ้าเมื่อใดมีอาการตกขาว คนจีนแนะนำให้เอาต้นกุยช่าย ไข่ไก่ น้ำตาลอ้อย ต้มรับประทาน เมื่อผู้หญิงเริ่มท้องก็ควรรับประทานใบกุยช่ายผัดกับตับหมู เมื่อท้องมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร เอาน้ำคั้นกุยช่ายครึ่งถ้วยและน้ำขิงอีกครึ่งถ้วยผสมกันและนำไปต้มจนเดือด แล้วเติมน้ำตาลตามใจชอบ ดื่นน้ำยาที่ได้
    ถึงตอนคลอดมีอาการหมดสติเขาจะใช้ใบกุยช่ายสดสับให้ละเอียด ใส่ในเหล้าที่ต้มเดือดแล้วกรอกเข้าไปในปาก หรือเมื่อหลังคลอดมีอาการวิงเวียนจะใช้ใบกุยช่ายสับละเอียดเอาใส่ขวด เติมน้ำส้มสายชูร้อนๆ ลงไปแล้วใช้สูดดมแก้วิงเวียน
    คนไทยเราเองเมื่อคลอดลูกแล้วคนโบราณว่าแม่ลูกอ่อนรับประทานผักหอมแป้น (กุยช่าย) แกงเลียงจะช่วยบำรุงน้ำนม ในกรณีที่มดลูกหย่อนหลังมีลูกก็ให้ใช้ใบสดๆ ประคบหรือเอามาล้างที่อวัยวะเพศภายนอก
    จะเห็นว่าสรรพคุณของกุยช่ายมีมากมายเหมาะกับทั้งท่านชายและท่านหญิง ท่านชายที่มีปัญหาหมดสมรรถภาพทางเพศหรือหลั่งเร็ว กำลังเตรียมจะหาซื้อยาไวอากราก็น่าลองใช้สมุนไพรกุยช่ายดูบ้าง ไม่มีผลข้างเคียงอะไร ทั้งยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย
    หรือท่านหญิงที่กำลังท้องกำลังไส้ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ลองหันมาทำยาแก้แพ้ท้องที่แสนจะปลอดภัยและให้ประโยชน์กันดูบ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กระหล่ำปลีแดง




   กะหล่ำปลีแดง


ชื่อวิทยาศาสตร์    Brassica oleraceae var. rubra
ชื่อสามัญ           Red Cabbage
 
ลักษณะ :
เป็นพืชล้มลุกสองปี มีลักษณะคล้าย กะหล่ำปลีธรรมดา แต่มีสีแดง เนื่องจากใบมีสาร anthocyanin จำนวนมาก ลักษณะลำต้นสั้นมาก ใบเดี่ยวสีแดง หนา และมีนวล ใบเรียงตัว สลับซ้อนกันแน่นหลายชั้น เรียงแน่น หัวกลมหรือค่อนข้างกลม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
 
คุณค่าทางอาหาร :
ด้วยเนื้อผักกรุบกรอบของกะหล่ำปลีสีม่วงมีสารอินไทบินที่ออกรสขมกว่ากะหล่ำปลีสีขาวธรรมดา แต่สารอินไทบินัวนี้มีส่วนสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงตับ ถุงน้ำดี ไต และกระเพาะดีขึ้นนอกจากนี้กะหล่ำปลีสีม่วงยังอุดมด้วยธาตุเหล็ก จึงช่วยเสริมฮีโมโกลบินให้แก่ร่างกาย ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นตัวการสำคัญที่นำพาออกซิเจนไปกับเม็ดเลือดแดงเพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ
ในกะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน สามารถรักษาโรคกะเพาะอาหารและมีสารกอยโตรเจนที่ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคอพอก นอกจากนั้นยังพบว่ามีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้มีการวิจัยพบกะหล่ำปลีใช้ประคบเต้านมลดปวดแก้นมคัดแม่หลังคลอด[
 
การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของกะหล่ำปลีแดง
กะหล่ำปลีแดง เป็นพืชที่มีเยื่อใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน(สาร indols ซึ่งเป็นผลึกที่แยก มาจาก trytophan; กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย) คาร์โบไฮเดรต โซเดียม วิตามินซีซึ่งพบค่อนข้างมากกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวถึง สองเท่า ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารซัลเฟอร์(Sulfer) ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ และต้านสารก่อ มะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย การกินกะหล่ำปลีบ่อยๆ จะช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งในช่องท้อง ลดระดับคลอเรสเตอรอล ละช่วยงับประสาท ทำให้นอนหลับดี น้ำกะหล่ำปลีคั้นสดๆ ช่วยรักษาโรคกะเพาะ อย่างไรก็ตาม กะหล่ำปลีมีสารชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า goitrogen เล็กน้อย ถ้าสารนี้มีมากจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ดังนั้นไม่ควร กินกะหล่ำปลีสดๆ วัยละ 1-2 กก. แต่ถ้าสุกแล้วสาร goitrogen จะหายไป
กะหล่ำปลีแดง นิยมรับประทานสด เช่น ในสลัด หรือนำมาตกแต่งจานอาหาร การนำมาประกอบอาหาร ไม่ควรผ่านความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินและคุณค่าอาหาร


กระชาย

ชื่อวิทยาศาสตร์    Boesenbergia rotunda  (Linn.) Mansf. ,Boesenbergia pandurata (Roxb.) Schltr. ,Gastrochilus panduratus Ridl.
วงศ์                  Zinggberaceae
ชื่อท้องถิ่น          กะแอน ระแอน(ภาคเหนือ)   ขิงทรา(มหาสารคาม)   ว่านพระอาทิตย์(กรุงเทพฯ)
 
ลักษณะ :
กระชายเป็นพืชล้มลุก  มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า  มีรากติดเป็นกระจุกเป็นที่สะสมอาหารเป็นรูปทรงกระบอก  ปลายเรียวแหลม  มีสีน้ำตาลอ่อน  เนื้อสีเหลืองอมแดง  มีกลิ่นหอม  คนไทยรู้จักกระชายในฐานะเครื่องปรุงอาหาร  ดับกลิ่นในอาหารจำพวกแกงต่างๆ  โดยใช้เป็นกระจำในครัวเรือน
 
สารสำคัญ :
น้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 0.08% เช่น 1,5-Cineol  ,Boesenbergin A ,Camphor ,Camphene และ Thujene (ช่วยดับกลิ่นคาว ทำให้กระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวดีขึ้น เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมีสารกลุ่ม Flavonoid และ chalcone ด้วย
 
รสและสรรพคุณทางยา :
รสเผ็ดเล็กน้อย ขมนิดหน่อย ใช้แก้ปวดมนในท้องไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อใช้บำรุงร่างกาย
สรรพคุณของสมุนไพรกระชายเท่าที่มีการบันทึกไว้ในตำรับแพทย์แผนไทยมีดังนี้  คือ
            1.  แก้ท้องอืด  ท้องเฟ้อ  ปวดท้อง  ท้องร่วง  ปวดมวนในท้อง
            2.  แก้บิด
            3.  ขับระดู  ขับระดูขาว
            4.  บำรุงกำหนัด  แก้กามตายด้าน
            5.  บำรุงร่างกาย  แก้อ่อนเพลีย
            6.  แก้โรคในปาก
            7.  ขับปัสสาวะ
            8.  แก้โรคขาดประจำเดือน
            9.  แก้ลมแน่นหน้าอก  แก้หัวใจสั่น
 
คุณค่าทางอาหาร :
กระชายมีรสเผ็ดพบสมควร จึงช่วยดับกลิ่นคาวได้ นำไปปรุงกับอาหารได้หลายอย่าง โดยเฉพาะอาหารไทยเราเช่น แกงเลียง แกงขี้เหล็ก
ผัดเผ็ดปลาดุก ฯลฯ ในรากเหง้าของกระชายมี แคลเซียม เหล็กมาก นอกจากนั้นยังมีเกลือแร่ต่างๆและวิตามิน เอ วิตามิน ซี อีกด้วย
 
วิธีใช้ตามภูมิปัญญาไทย :
1.รักษาอาการแน่นจุกเสียด ใช้เหง้า หรือรากประมาณครึ่งกำมือ น้ำหนักสด 5-10 กรัม แห้ง 2-5 กรัม ทุบพอแตก ต้มกับน้ำพอเดือด ดื่มแต่น้ำ
2.ใช้รากกระชายบำบัดอาการ ED (Erectile Dysfuntional) หรือโรคนกเขาไม่ขัน โดยกินทั้งราก
วิธีที่ ใช้ตำราแก้ฝ้าขาวในปาก อาการจะเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังวันที่ 3-4
วิธีที่ รากกระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ ถ้าไม่เห็นผลกินอีก แคปซูลก่อนอาหารเย็น หรือกลับไปใช้วิธีที่ จะเริ่มกินบอกภรรยาด้วย ถ้าได้ผลแล้วภรรยาบ่นให้ภรรยากินด้วยเหมือนๆ กัน
วิธีที่ เพิ่มกระชายในอาหาร ทำเป็นกับข้าวธรรมดาก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ (ทุบแบบหัวข่า) แกงเผ็ด (หั่นเป็นฝอย) กินทุกวัน พร้อมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เห็นผลในหนึ่งเดือน เนื่องจากในรากกระชายมีสารที่ออกฤทธิ์คลายการหดตัวของผนังหลอดเลือดในกลุ่มยารักษาอีดี กลุ่มที่ 3 (ยาที่มีผลต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ สารกลุ่ม prostanoids (PGE1), ไนตริก ออกไซด์ และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไนตริกออกไซด์ (ได้แก่ nitric oxide synthase)) โดยไม่พบรายงานความเป็นพิษเมื่อบริโภคในระดับที่เป็นอาหาร
3.บำบัดโรคกระเพาะ กินรากสดแง่งเท่านิ้วก้อยไม่ต้องปอกเปลือก วันละ มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที สัก วัน ถ้ากินได้ให้กินจนครบ สัปดาห์ ถ้าเผ็ดร้อนเกินไปหลังวันที่ ให้กินขมิ้นสดปอกเปลือกขนาดเท่ากับ ข้อนิ้วก้อยจนครบ สัปดาห์
4.บรรเทาอาการแผลในปาก ปั่นรากกระชายทั้งเปลือก แง่งกับน้ำสะอาด แก้วในโถปั่นน้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนกาแฟโบราณ กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้กลั้วปากวันละ 3เวลาจนกว่าแผลจะหาย ถ้าเฝื่อนเกินไปให้เติมน้ำสุกได้อีก ส่วนที่ยังไม่ได้แบ่งใช้เก็บในตู้เย็นได้ วัน                                                    
5.แก้ฝ้าขาวในปาก บดรากกระชายที่ล้างสะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก ในโถปั่นพอหยาบใส่ขวดปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น กินก่อนอาหารครั้ง ละ  ช้อนกาแฟเล็ก(เหมือนที่เขาใช้คนกาแฟโบราณ) วันละ มื้อก่อนอาหาร 15 นาที:7 วัน                                                                    
6.ฤทธิ์แก้กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า คันศีรษะจากเชื้อรา นำรากกระชายทั้งเปลือกมาล้างผึ่งให้แห้ง ฝานเป็นแว่น แล้วบดให้เป็นผงหยาบ เอาน้ำมันพืช (อาจใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้) มาอุ่นในหม้อใบเล็กๆ เติมผงกระชายใช้น้ำมัน เท่าของปริมาณกระชาย  (คนไปคนมาอย่าให้ไหม้) ไฟอ่อนๆ ไปสักพักราว 15-20 นาที กรองกระชายออก เก็บน้ำมันไว้ในขวดแก้วสีชาใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน                                                          
7.แก้คันศีรษะจากเชื้อรา ให้เอาน้ำมันดังกล่าวไปเข้าสูตรทำแชมพูสระผมสูตรน้ำมันจากที่ไหนก็ได้ โดยใช้แทนน้ำมันมะพร้าวในสูตร ประหยัดเงินและได้ภูมิใจกับภูมิปัญญาไทยหรือจะใช้น้ำมันกระชายโกรกผม ให้เพิ่มปริมาณน้ำมันพืชอีก เท่าตัว โกรกด้วยน้ำมันกระชายสัก นาที นวดให้เข้าหนังศีรษะ แล้วจึงสระผมล้างออก      
8.ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ ผงกระชายทั้งเปลือกบดตากแห้งปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กินวันละ ลูกก่อนเข้านอน ตำรับนี้เคยมีผู้รายงานว่าใช้ลดน้ำตาลในเลือดได้ หรือใช้กระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ 2
9.ฤทธิ์บำรุงหัวใจ นำเหง้าและรากกระชายปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด หั่นตากแห้ง บดเป็นผง ใช้ผงแห้ง ช้อนชาชงน้ำดื่มครึ่งถ้วยชา

กระเจี๊ยบมอญ



กระเจี๊ยบมอญ

ชื่อสามัญ:               Ladies' Finger, Lady's Finger, Okra
ชื่อพื้นเมือง:             กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทวาย มะเขือมอญ (ภาคกลาง),มะเขือพม่า มะเขือมื่น มะเขือละโว้ (ภาคเหนือ/ลำปาง)
ชื่อพฤกษศาสตร์:      Abelmoschus esculetus (L.) Moench., Hibiscus esculentus L.
ชื่อวงศ์:                  MALVACEAE
 
ลักษณะ : ไม้ล้มลุก สูง 0.5-2 ม. มีขนทั่วไป ใบเดี่ยว เรียงสลับรูปไข่หรือค่อนข้างกลม กว้าง 10-30 ซม. ปลายหยักแหลม โคนเว้ารูปหัวใจ เส้นใบออกจากโคนใบ 3-7 เส้น ดอกใหญ่ ออกเดี่ยวตามง่ามใบ มีริ้วประดับ เป็นเส้นสีเขียว 8-10 เส้น เรียงเป็นวงรอบโคนกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง โคนกลีบสีม่วงแดง รูปไข่กลับหรือค่อนข้างกลม เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ก้านชูอับเรณูติดกันเป็นหลอดยาว 2-3 ซม. หุ้มเกสรเพศเมียไว้ อับเรณูเล็กจำนวนมากติดรอบหลอด ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ปลายแยกเป็น 5 แฉก ยอดเกสรเพศเมียเป็นแผ่นกลมขนาดเล็ก สีม่วงแดง ยื่นพ้นปากหลอดดอก ผลเป็นฝักห้าเหลี่ยม ปลายเรียวแหลม มีขนทั่วไป มีเมล็ดมาก เมล็ดรูปไต ขนาด 3-6 มม.
 
ประโยชน์ :
 ฝักอ่อน มีคุณค่าทางอาหารสูง กินได้ ในต่างประเทศบรรจุเป็นอาหารกระป๋องหรืออาหารแช่แข็ง
 เมล็ดแก่ มีน้ำมันมาก กากเมล็ดมีโปรตีนเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์
 เส้นใย จากต้นใช้ทำเชือกและกระดาษ นอกจากนี้โรงงานผลิตน้ำตาลบางแห่งในอินเดียยังนำเมือกจากต้นมาใช้ในกระบวนการทำให้น้ำอ้อยสะอาด
สำหรับการใช้ประโยชน์ทางยาแผนโบราณของจีน ราก เมล็ด และดอกใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
 
ประโยชน์ทางยา
 ผลอ่อน ใช้เป็นผักจิ้มประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี และไนอาซิน
- มีสารเมือกและ เพคติน ใช้แก้โรคกระเพาะอาหาร โดยนำผลแห้งมาป่นเป็นผงละเอียดชงกับน้ำร้อน รับประทาน เป็นยาหล่อลื่นในโรคโกโนเรียระงับพิษ
ขับปัสสาวะ
- แก้พยาธิตัวจิ๊ด โดยเอาผลกระเจี๊ยบมอญที่ยังอ่อนมาปรุงเป็นอาหารกิน เช่น ต้มหรือย่างไฟให้สุก จิ้มกับน้ำพริกหรือทำแกงส้ม กินวันละ ๓ เวลาทุกวัน วันละ ๔ - ๕ ผล ติดต่อกันอย่างน้อย ๑๕ วัน

 กลีบเลี้ยง มีสารแอนโทไซยานิน และกรดอินทรีย์ ได้แก่ กรดแอสคอบิก (วิตามินซี) กรดซีตริก กรดมาลิก และกรดทาทาริก ทำให้มีสเปรี้ยว นอกจากนี้ มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินเอ และเพคติน กลีบเลี้ยง ปรุงเป็นเครื่องดื่ม ผลไม้กวน และแยม
 มีข้อห้าม เวลาต้มต้องให้สุกจริงๆ ถ้าไม่สุกจะเหม็นเขียว กินแล้วจะเป็นอันตรายเกิดการเบื่อเมาได้